กรม สบส.เร่งปลูกฝังพฤติกรรม “ล้างมือ ใช้หน้ากากอนามัย”เสริมหลักสูตรสุขศึกษา กลุ่มนักเรียนประถมศึกษา
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เผยผลสำรวจพฤติกรรมคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ เมื่อเป็นหวัด ครั้งล่าสุดในเดือนตุลาคม 2559 พบร้อยละ 74 ไม่ค่อยใช้หน้ากากอนามัย มีผู้ใช้ประจำเพียงร้อยละ 19 เท่านั้น และมีร้อยละ 7 ที่ไม่เคยใช้เลย ส่วนกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาใช้หน้ากากอนามัยทุกครั้งเพียงร้อยละ 15 เร่งปลูกฝังพฤติกรรมนักเรียนทั้งการล้างมือ และใช้หน้ากากอนามัย ตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ ในโรงเรียนประถมศึกษาในปีนี้กว่า 800 แห่ง ทุกอำเภอ จากกรณีที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน กทม. ได้แจ้งปิดเรียนผ่านทางเว็บไซต์ของโรงเรียน เนื่องจากพบว่ามีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์เอ โดยทางโรงเรียนได้ขอความร่วมมือนักเรียนที่ป่วยให้ไปพบแพทย์และพักรักษาตัวจนกว่าจะหายดี นั้น เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2560) นายแพทย์ภัทรพล จึงสมเจตไพศาล รองโฆษกกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ไข้หวัด/ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคทางเดินหายใจที่พบได้ตลอดปี และมีโอกาสแพร่เชื่อให้คนอื่นได้ง่าย เนื่องจากเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย ติดต่อผ่านทางการไอ จามรดกัน หรือติดทางมือที่ไปสัมผัสน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วย โดยการไอ หรือจามเพียงครั้งเดียว สามารถแพร่กระจายเชื้อโรคออกไปได้ไกลถึง 3 ฟุต ผู้อยู่ใกล้เคียงก็มีโอกาสติดเชื้อได้ หากจะหยุดการแพร่เชื้อไข้หวัด ต้องส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรม 2 เรื่องหลักคู่กัน คือ สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อเป็น และล้างมือฟอกสบู่บ่อยๆ เพื่อขจัดเชื้อออกจากมือ ซึ่งต้องสร้างให้เป็นนิสัยเพื่อเป็นพฤติกรรมติดตัวตลอดไป อย่างไรก็ตาม กรม สบส.ได้สำรวจพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของประชาชนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ รวมทั้งกทม. และปริมณฑล จำนวน 512 คน ในเดือนตุลาคม 2559 พบว่า เมื่อเป็นหวัด กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 74 มีการใช้หน้ากากอนามัยในลักษณะไม่ประจำ คือ ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง โดยพบว่ามีผู้ใช้ทุกครั้งเพียงร้อยละ 19 พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียง ร้อยละ 38 รองลงมา คือ ภาคเหนือ ร้อยละ 31 ส่วนผู้ไม่เคยใช้หน้ากากอนามัยเลยเมื่อเป็นหวัดมี ร้อยละ 7 พบมากที่สุดในภาคกลาง ร้อยละ 15 รองลงมา คือ กทม./ปริมณฑล ร้อยละ 11 นายแพทย์ภัทรพล กล่าวต่อว่า จากข้อมูลการสำรวจครั้งนี้ พบว่าในกลุ่มนักเรียน/นักศึกษา เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมการใช้หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่เป็นหวัดเพียงร้อยละ 15 อีกร้อยละ 76 ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง และร้อยละ 8 ไม่เคยใช้เลย จึงทำให้เชื้อโรคเกิดการแพร่กระจายได้ง่ายในโรงเรียน ซึ่งมีเด็กนักเรียนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อเป็นหวัดจึงต้องสร้างพฤติกรรมซึ่งทำเป็นประจำทุกครั้ง ใน 2 เรื่องหลัก คือ 1.การสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันเชื้อไข้หวัดแพร่กระจายไปติดคนอื่น จากข้อมูลองค์การอนามัยโลกพบว่า การใช้หน้ากากอนามัยสามารถลดการแพร่กระจายเชื้อโรคได้ถึงร้อยละ 80 โดยหน้ากากอนามัย จะทำหน้าที่ดักจับละอองที่มีเชื้อโรคเอาไว้ในตัวหน้ากากอนามัย ไม่ให้แพร่ออกสู่ภายนอก 2. การล้างมือฟอกสบู่บ่อยๆ หลังไอ จาม นายแพทย์ภัทรพล กล่าวต่อไปว่า ทั้ง 2 เรื่องนี้ กรม สบส.โดยกองสุขศึกษาได้เร่งปลูกฝังพฤติกรรมในกลุ่มเด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาทั่วประเทศ โดยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ จัดกิจกรรมการสอน สุขบัญญัติ 10 ประการ อยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนสุขศึกษา และให้เด็กฝึกปฏิบัติใช้จริง เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 ดำเนินการในพื้นที่ของหมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดโรคต่างๆ และในปี พ.ศ.2560 ได้ขยายผลอย่างน้อยอำเภอละ 1 แห่งใน 76 จังหวัด ไม่รวม กทม. อีกกว่า 800 แห่ง ให้นักเรียนนำไปขยายผลสู่ครอบครัวด้วย ซึ่งการล้างมืออยู่ในข้อที่ 3 ของสุขบัญญัติ ว่าด้วยการล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหาร หลังการขับถ่าย ไอ จามและหลังการสัมผัสสิ่งของต่างๆ เพื่อขจัดวงจรเชื้อโรค และการใช้หน้ากากอนามัยอยู่ในข้อที่ 10 ของสุขบัญญัติ ว่าด้วยการมีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม ไม่แพร่เชื้อไข้หวัดสู่ผู้อื่น ขณะนี้มีโรงเรียนส่งเสริมสุขบัญญัติแห่งชาติต้นแบบทั่วประเทศแล้วประมาณ 2,000 แห่ง