สบส. ผ่าตัดระบบคุ้มครองผู้บริโภคเวอร์ชั่นไทยแลนด์ยุค 4.0 ติด “คิวอาร์โค๊ด” ใบอนุญาตคลินิก- หมอ
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ปรับระบบงานคุ้มครองผู้บริโภคระบบด้านบริการสุขภาพ รับการขับเคลื่อนประเทศไทยยุค 4.0 ติด “คิวอาร์โค๊ด” ใบอนุญาตโรงพยาบาล/คลินิก - หมอ ประชาชนตรวจสอบจริง ปลอมได้ทันที และตั้งวอร์รูม ระดมผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาเข้ากลั่นกรองข้อมูล ปัญหาร้องเรียน ขันน็อตประสิทธิภาพกลไกต่อเนื่อง พร้อมไกล่เกลี่ยเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายสมเหตุสมผล ใช้ไลน์ส่งข้อมูลความรู้สุขภาพของแท้ ถึงตัวประชาชนทุกคน ทุกหมู่บ้านสู้ภัยจากโซเซียลมีเดีย พร้อมเปิดระบบในเดือนตุลาคม 2559 นี้ แน่นอน นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรมสบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในการขับเคลื่อนประเทศไทยยุค 4.0 เป็นยุคแห่งการพัฒนานวตกรรมต่อยอด พัฒนาก้าวกระโดด กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ปรับระบบงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านระบบริการสุขภาพและความเข้มแข็งภาคประชาชนในการม่ส่วนร่วมภาครัฐดำเนินการในเรื่องนี้ เน้นในเชิงรุก รวดเร็วมากขึ้น โดยได้พัฒนาระบบการตรวจสอบสถานพยาบาล คลินิกเอกชนที่มีรวมกว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะมีการใช้ระบบคิวอาร์โค๊ด (QR Code) ติดที่ใบอนุญาตการเปิดกิจการสถานพยาบาล และใบอนุญาตแพทย์ผู้ดำเนินการ เพื่อใช้ตรวจสอบ ว่าเป็นใบอนุญาตที่ถูกต้อง จริงหรือไม่ เนื่องจาก ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่ามีการปลอมแปลงเอกสารใบอนุญาตแพทย์ผู้ดำเนินการ นำไปแสดงในคลินิก และให้บริการโดยที่บุคคลไม่ใช่แพทย์ มีการนำรูปถ่ายบุคคลนั้นติดทับบนรูปถ่ายของแพทย์จริง ซึ่งยากต่อการที่ประชาชนจะตรวจสอบได้ ดังนั้น กรม สบส.จึงคิดกระบวนการแก้ปัญหาโดยนำระบบคิวอาร์โค๊ด ไปติดในใบอนุญาตทั้งใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล และใบอนุญาตแพทย์ผู้ดำเนินการ เมื่อประชาชนเห็นสามารถใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน สแกนคิวอาร์โค๊ดเพื่อตรวจสอบ และยืนยันว่าสถานพยาบาลหรือแพทย์เป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องกับกรม สบส. อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาทีก็สามารถทราบผลได้เลย ซึ่งในข้อมูลที่บรรจุอยู่ในคิวอาร์โค๊ด จะแสดงถึงเลขที่ใบอนุญาตสถานพยาบาล จำนวน 11 หลัก และเลขที่ใบอนุญาตผู้ดำเนินการ ซึ่งจะแสดงข้อมูลแพทย์ผู้ดำเนินการ พร้อมภาพ หากตรงกับที่ปรากฏในคลินิกทั้ง 2 หลักฐาน แสดงว่าเป็นสถานพยาบาลที่ถูกต้อง และแพทย์จริง ในขณะนี้ ได้มอบหมายให้ นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีกรม สบส. เป็นผู้ดำเนินการร่วมกับ ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ โดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ให้ทันใช้ภายในเดือนตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นเดือนเริ่มต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ทางด้าน นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า ในยุคไทยแลนด์ 4.0 ทั้งผู้ผลิตผู้ให้บริการควรทำหน้าที่คุ้มครอง และมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน ไม่ใช่รอให้เกิดเรื่องก่อนค่อยมาแก้ไข โดยกรม สบส. จะตั้งศูนย์ปฏิบัติการวอร์รูม (War Room) คุ้มครองผู้บริโภค เพื่อพิจารณาทบทวนเรื่องร้องเรียนที่ได้รับเข้ามาเฉลี่ยปีละ 200 ครั้ง วิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งด้านสถานพยาบาล ผู้ให้บริการ และปัญหาที่ประชาชนได้รับ โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาจากหน่วยงานทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข มาให้ข้อมูลทางวิชาการ และฝ่ายกฎหมายกรม สบส.ร่วมกันดำเนินการทบทวน กรั่นกรอง วิเคราะห์ ปัญหา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบบริการให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และนำไปสู่การแก้ไขไกล่เกลี่ยระหว่างผู้ประกอบการ ผู้ดำเนินการ กับประชาชนที่เดือดร้อนให้ได้รับการเยียวยาที่สมเหตุสม และวอร์รูมส่วนนี้จะเป็นกลไกในการคุ้มครองผู้บริโภคให้ประชาชน ผู้ป่วย บุคลากรสาธารณสุขมีความสัมพันธ์ที่ดี มีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น การดำเนินการเรื่องนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณมากมาย เนื่องจากเป็นการต่อยอดบนฐานข้อมูลที่มีอยู่แล้ว เพื่อทำให้งานเดินรุกไปข้างหน้าได้ และมีความคล่องตัวให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องไปถึงประชาชนให้เร็วที่สุด เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของการรับข้อมูลทั้งที่ตนเองไม่อยากได้มีทั้งถูกและผิด จึงต้องเร่งจัดทำข้อมูลทข่าวสารที่ถูกต้องส่งถึงตัวประชาชนให้เร็วที่สุดเช่นกัน ทางด้าน ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กล่าวว่า ในการคุ้มครองผู้บริโภคในยุค 4.0 สำนักสถานพยาบาลฯ จะขยายเครือข่ายไปถึงภาคประชาชน โดยร่วมมือกับศูนย์พิทักษ์สิทธิที่ดำเนินการโดย จัดอบรม อสม.ทั้ง 76 จังหวัด ประมาณ 800 คน ในเรื่องของการเรียนรู้ระบบการเฝ้าระวัง การคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารสุขภาพที่มีความบิดเบือนจากความเป็นจริงก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและจะใช้ระบบโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะไลน์ (LINE) เป็นช่องทางสื่อสาร ตั้งแต่ระดับกรม สบส.ลงถึง อสม.ในศูนย์พิทักษ์สิทธิ 76 จังหวัด จากนั้นจะกระจายลงสู้ช่องทาง อสม.อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน และเข้าสู่ครัวเรือนรายบุคคล ขณะนี้ได้วางระบบเป้นที่เรียบร้อยแล้ว มั่นใจว่าในยุคต่อไปนี้ข้อมูลทางไลน์จากกรม สบส.จะถึงคน 60 ล้านคนในเวลาที่รวดเร็วเป็นการใช้เครือข่ายเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ บทบาทของ อสม.จากนี้ไปจะต้องเป็นผู้แชร์ข้อมูลข่าวที่ถูกต้องและผ่านการกรั่นกรองจากภาครัฐ คือ วอร์รูมของกรม สบส.ทำให้ประชาชนปลอดภัยจากความเสี่ยงของการโฆษณาโอ้อวด เกินจริง หรือคำแนะนำที่ผิดๆเป็นภัยต่อสุขภาพ